วันนี้ไม่ได้แวะมาแก้ タスクใดๆ เพียงแค่มาอัพเดทประสบการณ์ใช้ภาษาญี่ปุ่นค่าา
วันนี้ได้ทำผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอันน >______<
ได้กลับมาแปลแมกฯหลังจากไม่ได้แปลมาเกือบ 3 ปีแล้วว
เลยคิดว่าจะมาขอแปะลงในนี้ด้วยเพื่อเก็บไว้~~
ระหว่างที่แปลไปก็ไม่ได้ทันสังเกตว่ามีจุดไหนที่ตรงกับหัวข้อที่เป็นเป้าหมายของเทอมนี้
แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีจุดไหนที่สงสัยเป็นพิเศษค่ะ (มีแค่บางตัวที่ไม่รู้คำแปลแล้วต้องหา)
เดี๋ยวพรุ่งนี้มะรืนนี้จะแปลอีกครึ่งแล้วเอามาลง
คราวนี้จะพยายามสังเกตการใช้ภาษาให้มากกว่าเดิมค่ะ >____<
ความฝันในอนาคตคือ “การเข้าจอนนี่”
Q: ตอนเด็กๆเป็นเด็กแบบไหน
Y: เป็นเด็กที่ไม่ขี้อายเวลาอยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้าเลยครับ
Q: จริงเหรอครับ
Y: ตอนที่ผมเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่เปิดโรงเรียนสอนยิมนาสติก พี่สาวที่โตกว่าผม 2 ปีเรียนอยู่ที่นั่นด้วย ตอนนั้นผมยังเล็กอยู่เลยยังไม่สามารถอยู่เฝ้าบ้านคนเดียวได้ ผมจึงมักจะรอทุกคนจนกว่าจะจบคลาสอยู่ที่โรงเรียนเสมอ ระหว่างที่รอผมก็ใช้เวลาไปกับการพูดคุยกับผู้ปกครองทั้งหลาย แบบนี้ไม่เรียกว่าเป็นเด็กขี้อายหรอกเนอะ?
Q: ตอนนั้นไม่คิดว่าอยากเรียนยิมนาสติกบ้างเหรอ?
Y: ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ตอนนั้นผมไม่คิดอยากเรียนเลยครับ แถมผมยังได้มีโอกาสเรียนเต้นตั้งแต่ 3 ขวบด้วยเลยทำให้ผมหลงใหลในการเต้นมากกว่า
Q: เหตุผลที่ทำให้เริ่มเรียนเต้นคือ
Y: ผมเองก็จำไม่ค่อยได้หรอก คิดว่าน่าจะเป็นเพราะคุณแม่พาไปเรียนครับ ตอนแรกๆที่ยังจับจังหวะไม่ค่อยได้ก็เต้นไม่ตรงกับคนอื่นตลอดเลย จำได้ว่าเคยคิดว่า “มันยากจังนะ” ด้วย
Q: แต่ก็ยังเรียนเต้นต่อสินะ
Y: คิดว่าน่าจะเป็นเพราะผมมีความคิดว่าการค่อยๆเรียนรู้สิ่งที่ทำไม่ได้จนกลายเป็นทำได้ในสักวันหนึ่งมันเป็นเรื่องน่าสนุกล่ะมั้ง หลังจากเริ่มเรียนมาได้ 2 ปีผมก็ขอคุณพ่อคุณแม่เองว่าอยากเรียนเต้นอีก
Q: เริ่มสนใจจอนนี่ตั้งแต่กี่ขวบ?
Y: กี่ขวบล่ะเนี่ย!? ตอนแรกเป็นเพราะคุณแม่และพี่สาวชอบซากุระอิ(โช)คุงเลยส่งผลให้ผมมีความคิดนี้ล่ะมั้ง ตัวผมเอง ตั้งแต่ช่วงอนุบาลก็เริ่มชอบและมีความฝันที่จะเข้าจอนนี่แล้วล่ะ พอดีกับที่อาราชิเดบิวต์ อาราชิดูเท่มากจริงๆ ตอนนั้นผมเลยเอาแต่ร้องเพลงของอาราชิตลอดเลย
Q: ความรักที่จิเนนคุงมีให้กับโอโนะ(ซาโตชิ)คุงเนี่ยเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันหมดเลยสินะ
Y: ตอนป.1ไม่ก็ป.2 ผมได้มีโอกาสไปไลฟ์ของอาราชิมา ก่อนที่จะได้ไปเห็นโอโนะคุงตัวจริง พูดไปก็เสียมารยาทล่ะนะ แต่ว่าอิมเมจในทีวีโอโนะคุงดูเฉื่อยๆมากเลยล่ะ แต่พอได้ไปเห็นตัวจริงในไลฟ์ ได้เห็นตอนที่โอโนะคุงเต้นทำให้ผมรู้ว่าไม่เหมือนกับในทีวีเลยสักนิด เป็นการเต้นที่เป๊ะและเท่มากๆจนทำให้ผมคิดว่า “อยากยืนอยู่บนเวทีและทำให้คนดูแปลกใจอย่างนั้นบ้าง” เลยล่ะ
Q: แปลว่าออดิชั่นเข้าจอนนี่ด้วยความตั้งใจของตัวเองสินะ
Y: ครับ ถ้าจำไม่ผิด ผมส่งประวัติส่วนตัวเข้าไปที่จอนนี้ตอนปลายๆป.3 ตอนนั้นคุณแม่เองก็สนับสนุนให้ส่งไปเต็มที่เลย
Q: ตอนที่มีการติดต่อกลับว่าผ่านรอบแรกรู้สึกยังไงบ้าง?
Y: ตอนนั้นเป็นตอนขึ้นป.4ใหม่ๆครับ ผลการคัดเลือกถูกส่งมาก่อนออดิชั่นไม่กี่วัน ทำให้ผมรู้สึกดีใจมากๆจนคิดว่า “ในที่สุดก็มา!” เลยล่ะ
Q: ออดิชั่นเป็นยังไงบ้าง?
Y: ตอนนั้นผมยังอยู่ที่ชิซึโอกะอยู่เลยนั่งชินคันไซไปที่โตเกียวกับคุณแม่ครับ ตอนนั้นตื่นเต้นมากๆเลยล่ะเพราะคิดว่าอีกไม่นานจะมีคณะกรรมการมาตัดสินการเต้นของผม ตอนนั้นไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน คิดแค่ว่าผมเรียนเต้นมาตั้งแต่ 3 ขวบเลยไม่อยากจะแพ้ใครในการออดิชั่นน่ะครับ
Q: หลังจากที่ออดิชั่นเข้า Johnny ก็ออดิชั่นหนังเรื่อง Ninja Hatttori-kun เลยสินะ?
Y: พอดีว่าตอนนั้นจอนนี่ซังมาถามผมว่า “ลองไปออดิชั่นดูมั้ย? ลองไปถามคุณแม่สิว่าอนุญาตมั้ย” สำหรับตัวผมแล้ว เหตุผลที่ทำให้ผมอยากเข้าจอนนี่ก็เพราะอยากเต้นเท่านั้น ไม่มีทางจะไปเล่นหนังอะไรอย่างนั้นได้หรอกเลยไปตื้อคุณแม่ว่า “กลับบ้านกันเถอะ ง่วงแล้วนะ กลับกันเถอะ” แต่พอคุณแม่บอกว่า “ถ้ายอมไปออดิชั่นจะซื้อเกมให้” เท่านั้นล่ะ ผมก็ตอบไปว่า “อื้อ งั้นตกลง” (หัวเราะ)
Q: ฮ่าๆๆๆๆๆ
Y: แถมไปออดิชั่นแล้วดันติดด้วย รู้สึกอย่างกับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวแน่ะ (หัวเราะ) น่าแปลกจังเลยนะครับ ถ้าผมไม่ได้ไปออดิชั่นหนังในตอนนั้น ผมอาจจะไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ในตอนนี้ก็ได้นะ
Q: การถ่ายทำเป็นยังไงบ้างครับ?
Y: ถ้าจำไม่ผิด ระยะเวลา 1 เดือนครึ่งนั้นต้องพักอยู่ที่โรงแรมในโตเกียวตลอดเลย ตอนที่ให้สัมภาษณ์ใน Making ก็ตอบไปว่า “สนุกมากเลยครับ ไม่เหงาเลยสักนิด” ทำเป็นไม่รู้สึกอะไรก็จริง แต่ตอนนั้นผมเหงามากๆเลยล่ะ ถึงกับล้มป่วยไปเลยล่ะ ตอนนั้นเองที่คุณแม่เดินทางมาหาทำให้ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะเลยครับ
ยาบุคุงที่นั่งอยู่ข้างๆได้เอามือมาตบที่หัวเข่าเบาๆ
Q: หลังจากนั้น งานของ Jr. ก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละนิดสินะ?
Y: ตอนนั้นผมก็ยังอยู่ที่ชิซึโอกะทำให้งานที่เข้ามาก็มีแค่เรียกตัวมาสัมภาษณ์ลงนิตยสารนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเองครับ เพราะฉะนั้นช่วงแรกๆผมเลยไม่ค่อยมีงานแบบพวกการไปเป็นเด็กแบ็คให้พวกรุ่นพี่เหมือนที่คนอื่นๆทำกันเท่าไหร่
Q: งั้นเหรอครับ
Y: แถมพอโดนเรียกไปสัมภาษณ์แต่ละครั้งนั้นทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นมากเลยล่ะ ช่วงนั้นยังไม่ค่อยมีเพื่อนด้วย ผมเลยได้แต่นั่งเงียบๆอยู่ที่เก้าอี้จนช่างกล้องเรียกชื่อนั่นล่ะ ตอนที่โดนเรียกก็รีบยืนขึ้น แต่พอถ่ายเสร็จก็รีบนั่งลงอะไรประมาณนี้ ทั้งๆที่คนอื่นก็สนิทสนมกันจนนั่งคุยนั่งเล่นเกมรอเวลากันทั้งนั้น
Q: อยากให้มีใครสักคนเข้ามาทักสินะ
Y: ตรงกันข้ามเลยต่างหาก ถ้ามีใครเข้ามาทักผมก็ตื่นเต้นอีกอยู่ดีล่ะ (หัวเราะ) ผมยังจำได้เลย ตอนนั้นบังเอิญได้ร่วมลงสัมภาษณ์พร้อมกับยาบุคุง ถึงจะไม่ได้คุยอะไรกันเลยก็เถอะ แต่ก็เอายาบุคุงที่นั่งอยู่ข้างๆได้เอามือมาตบที่หัวเข่าของผมเบาๆ ผมเลยเอามือตบเข่ายาบุคุงเบาๆกลับเหมือนกัน เพราะยาบุคุงช่วยเอาไว้เลยทำให้ผมเริ่มเข้ากับบรรยากาศรอบๆได้
Q: หลังจากที่เป็น Jr แล้วได้เจอกับโอโนะคุงที่ปลาบปลื้มมั้ย?
Y: ตอนที่โดนเรียกไปถ่ายนิตยสารที่โตเกียว บังเอิญได้ไปถ่ายที่สตูดิโอเดียวกับมัตสึโมโตะ(จุน)คุง พอผมเข้าไปทักทายและบอกไปว่า “ผมชอบอาราชิ” มัตสึโมโตะคุงก็ถามกลับมาว่า “ชอบเพลงอะไร?” พอผมตอบไปว่าชอบเพลง “Tomadoinagara” มัตสึโมโตะคุงก็ตอบกลับมาว่า “เรียบง่ายจริงๆเลยนะ (หรือแปลได้ว่าชอบอะไรแบบคนแก่นะค่ะ)” พอผมบอกไปว่า “ผมจะไปดูคอนเสิร์ตที่นาโกย่านะครับ” มัตสึโมโตะคุงก็ชวนว่า “ไว้มาเที่ยวเล่นในห้องพักสิ”
Q: ได้เจอโอโนะคุงครั้งแรกในห้องนั่นสินะ
Y: ครับ ตอนนั้นทุกคนกำลังแต่งหน้าแต่งตัวกันอยู่เลย ตอนที่ผมกำลังคิดว่า “อ๊ะ โอโนะคุงตัวจริง!” ซากุราอิคุงก็เดินมาหาผมแล้วก็มาเล่นมาดึงแก้มผมทำให้ผมดีใจมากเกินจนจำไม่ได้ว่าได้คุยอะไรกับโอโนะคุงไป (หัวเราะ)
Q: ฮ่าๆๆๆ
Y: หลังจากนั้นก็ได้เข้าไปในห้องพักของพวก Jr ตอนนั้นเองที่จู่ๆก็โดนถามว่า “รู้มั้ยว่านั่นใคร?” แต่ผมก็ไม่รู้จริงๆว่านั่นเป็นใครจนคุณแม่มากระซิบข้างๆหูว่า “คิตะยามะ (ฮิโระมิสึ) คุง” พอมาคิดย้อนไปแล้วยังคิดอยู่เลยว่า “นั่นคือคิตายามะคุงจริงๆด้วยสินะ” แล้วก็มีฟุจิกายะคุงอยู่ด้วยครับ
Q: ตอนนั้นคิดยังไงกับการเดบิวต์?
Y: ภาพของผู้ชมที่เห็นตอนที่ยืนอยู่ระหว่างทางเดินไปยังเวทีในไลฟ์นั้นเป็นภาพที่ผมไม่ลืมเลยครับ ภาพนั้นทำให้ผมคิดว่า“สักวันอยากจะเดบิวต์แล้วเดินไปยังอีกฝั่งของทางเดินนี้” แต่ถ้าพูดถึงความต้องการสูงสุดในตอนนั้นคือ “การที่ปัจจุบันได้สนุกสนานกับการเต้นที่ชอบ คอยเต้นเป็นแบ็คให้กับพวกรุ่นพี่ และสักวันอยากจะเป็นแบ็คให้อาราชิบ้าง” ล่ะครับ
เด็กคนนั้นเก่งจังเลยนะ อยากเต้นด้วยกันจังเลย
Q: คิดยังไงกับการที่บริษัทไม่ค่อยเรียกตัวมาทำงานในฐานะ Jr เพียงเพราะตัวเองอยู่ที่ชิซึโอกะ?
Y: ตอนนั้นผมได้ดูพวก Jr ผ่านทางโทรทัศน์บ่อยมากๆเลย ตอนนั้นยูโตะคุงกับเรียวสุเกะได้รับแรงผลักดันจนได้เต้นอยู่ในตำแหน่งเด่นๆ ช่วงนั้นผมก็ดูไปแล้วก็คิดในใจไปว่า “ได้เต้นด้วย ดีจังเลยนะ” ยิ่งโดยเฉพาะตอนที่ได้เห็นเรียวสุเกะในโทรทัศน์เป็นครั้งแรก ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า เด็กคนนั้นเก่งจังเลยนะ อยากเต้นด้วยกันจังเลย
Q: ย้ายมาอยู่ที่โตเกียวตั้งแต่ตอน ม.1 สินะ?
Y: พอคุณพ่อย้ายเข้ามาทำงานในโตเกียว ครอบครัวทุกคนก็เลยย้ายมาที่นี่หมดเลยครับ ตัวผมเองก็คิดมาตลอดว่า “อยากไปโตเกียวจังเลย ถ้าไปโตเกียวน่าจะได้ทำงานในฐานะ Jr. ได้มากกว่านี้” เลยคิดว่าน่าจะเป็นช่วงจังหวะที่ดีที่สุดที่ได้ย้ายเลยล่ะ ช่างเป็นเวลาพอเหมาะจริงๆ (หัวเราะ)
Q: แล้วงานในฐานะ Jr. เพิ่มขึ้นมั้ย?
Y: ครับ เพิ่มขึ้นตั้งแต่มาถึงเลย ตอนนั้นมีคอนเสิร์ตของ Jr. ที่บุโดคังพอดี ผมก็ถูกเรียกไปซ้อมสำหรับคอนเสิร์ตนั้นด้วย 2วันถัดไปผมก็ถูกเรียกให้ไปซ้อมในห้องซ้อมของพวก Jr. ที่เป็นตัวหลักๆแทน คนที่อยู่ที่นั่นก็มีเรียวสุเกะ ยูโตะคุง อิโนะจัง ไดกิ ผมรู้สึกดีใจมากๆเลยล่ะเพราะทุกคนเป็นคนที่ผมเคยเห็นแต่ในโทรทัศน์มาตลอด ตอนนั้นผมดีใจมากเลยจริงๆนะ
Q: จู่ๆความฝันที่อยากจะเต้นกับยามาดะคุงก็เป็นจริงเลยสินะ
Y: ครับ เรียวสุเกะน่ะ ตอนนั้นทุกคนยังเรียกว่ายามะจังอยู่เลย ตัวผมที่อยากตีสนิทด้วยเลยเรียกไปว่า “คาบะจัง(ฮิปโป)” เรียวสุเกะก็ตอบกลับมาว่า “เดี๋ยวโกรธนะ” แต่ว่าผมก็ยังคงแกล้งเรียกว่า “คาบะจัง” อยู่ดี(หัวเราะ)
Q: แต่ก็ไม่ได้มีแต่เรื่องดีใจใช่มั้ยล่ะ ประสบการณ์โหดๆก็เจอมาเหมือนกันสินะ?
Y: อืม ไม่รู้สิครับ มีแค่เรื่องที่ผมต้องจำท่าเต้นที่ทุกคนเต้นอยู่จาก 0 เท่านั้นเอง
Q: ถึงจะเรียนเต้นมาตั้งแต่ 3 ขวบแต่ก็ยังยากอยู่ดีใช่มั้ย?
Y: ก่อนหน้านั้นผมเรียนเต้นอาทิตย์ละ 5 ครั้งเลยคิดไปว่าคงไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าจำนวนท่าเต้นที่ต้องจำและความเร็วในการเรียนรู้นั้นไม่เหมือนกันเลยสักนิด ใน 3-4 ชั่วโมง เด็ก Jr. ต้องจำท่าเต้นทั้งหมดให้ได้สักเพลงสองเพลง ตอนแรกๆที่ต้องเรียนรู้ด้วยความเร็วขนาดนั้นทำให้ผมจำอะไรไม่ได้สักอย่าง ตอนนั้นผมเจ็บใจมากเลย ทั้งๆที่ผมเรียนเต้นมาตลอดแต่กลับเต้นไม่ได้เลยสักนิด
Q: แล้วแก้ไขสถานการณ์นั้นได้ยังไง?
Y: ช่วงที่มีเวลาว่างตอนซ้อมก็ให้เรียวสุเกะกับยูโตะคุงช่วยสอนท่าเต้นให้ แต่ละเพลง ท่าเต้นของแต่ละคนก็จะต่างกันออกไป ผมเลยต้องไปถามคนนู้นคนนี้ไปเรื่อย
Q: ลำบากแย่เลย
Y: แต่ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องลำบากนะ ผมชอบการเต้นแล้วก็ดีใจที่ “ได้ยืนบนเวทีนี้” มากกว่าได้ยืนบนเวทีที่ส่องประกายนั่นเชียวนะ
Q: เวทีแรกที่ได้เล่นคอนเสิร์ตที่บุโดคังรู้สึกยังไงบ้าง?
Y: ตอนนั้นผมได้เต้นท่าแนวบัลเลต์ต่อหน้าพวกเรียวสุเกะในห้องพักแล้วครูสอนเต้นบังเอิญมาเห็นพอดีเลยมีความเห็นว่า “เยี่ยมไปเลย ลองเต้นในเพลงเปิดดูสิ” จู่ๆก็ได้โอกาสเต้นโซโล่เลยล่ะครับ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ
Q: จู่ๆก็ได้รับเลือกเลยสินะ
Y: ตอนเพลงเปิดผมเลยได้ขึ้นไปเต้นเดี่ยวบนเวที รู้สึกได้เลยว่าทั้งผู้ชมทั้ง Jr. คงมีความคิดว่า “ไอ้เด็กนี่ใครน่ะ?” แน่เลย ถึงอย่างนั้น การที่ผมได้มีโอกาสไปยืนบนเวทีที่หลงใหลมาตลอดทำให้ผมรู้สึกดีมากจริงๆนะ
พอได้เห็นเมมเบอร์ทุกคนที่มารวมตัวกันก็ทำคิดได้
Y: ตอนที่ได้ไปเป็นแบ็คให้ KATTUN จู่ๆพวกเรา 5 คนก็ถูกจอนนี่ซังเรียกตัวไปแล้วจอนนี่ซังก็เขียนคำว่า Hey!Say!7 ลงในไวท์บอร์ดพร้อมพูดว่า “พวกยู จากนี้ไปคือHey!Say!7” ผมดีใจมากๆเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ฟอร์มทีมเลยล่ะครับ
Q: หลังจากนั้นครึ่งปีก็ได้เดบิวต์ในฐานะ Hey!Say!JUMP สินะ
Y: ครับ ตอนแรกก็ถูกเรียกตัวให้ไปถ่ายนิตยสารเหมือนปกตินั่นล่ะ พอไปถึงที่นัดหมายก็มีเมมเบอร์ทุกคนใน Hey!Say!7อยู่ด้วย แถมยังมียาบุคุง ฮิคารุคุง แล้วก็อิโนะจังอยู่ด้วย ตอนแรกก็คิดว่ามันแปลกๆนะ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า อ๊ะ ใกล้การแข่งวอลเล่ย์แล้วนี่ พอดีว่าตอนนั้นมีข่าวในหมู่เด็ก Jr. เหมือนกันว่า “ใครจะได้เดบิวต์กันนะ?” ช่วงนั้นก็จะมี YaYaYah,A.B.C., Kis my ft2, JJ Express แล้วถึงจะเป็น Hey!Say!7 เป็นวงปิดท้ายเลยทำให้พวกผมคิดว่าวงที่จะเดบิวต์คงเป็นวงไหนสักวงใน 4 วงนั้นนั่นล่ะ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นพวกผมเอง ก็ช่วงนั้นยังเป็นช่วงที่ผมย้ายมาโตเกียวและทำงานในฐานะ Jr. ไม่ถึงปีเลยนะ แต่พอได้เห็นเมมเบอร์ที่มารวมตัวกันทำให้ผมคิดได้ว่า “โอกาสมาแล้วสินะ!” ไม่แน่ว่าอาจจะได้เดบิวต์ก็ได้
Q: ลางสังหรณ์ถูกต้องสินะ
Y: เหมือนว่าก่อนหน้านั้นจะมีเมมเบอร์หลายคนเหมือนกันที่ได้ฟังคำอธิบายจากจอนนี่ซังแล้ว แต่ผมเป็นหนึ่งในพวกที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้อะไรทั้งนั้นเลยได้แต่ตื่นเต้นไปเรื่อยๆ (หัวเราะ)
Q: ได้เดบิวต์แบบไม่ตั้งตัวอย่างนี้ ไม่รู้สึกสับสนบ้างเหรอ?
Y: ไม่มีเวลาให้สับสนหรอกครับ ตอนเดบิวต์พวกผมได้เล่นคอนเสิร์ตที่โตเกียวโดม สิ่งที่รู้สึกในตอนนั้นคือ “ทำไมถึงได้เล่นคอนในฮอล์ที่ใหญ่ขนาดนี้” แถมยังตื่นเต้นมากๆเสียจนจำอะไรแทบไม่ได้เลยล่ะ ราวกับว่าโดนดึงดูดให้เต้นไปเรื่อยๆเท่านั้นเอง แค่ร้องเพลงก็เต็มที่แล้วจริงๆ
Q: ความฝันที่มุ่งหวังมาตลอดเป็นจริงอย่างรวดเร็วสินะ
Y: ครับ เพราะงั้น สิ่งเดียวที่ผมยังรู้สึกเสียดายอยู่ก็คือการที่ไม่ได้เป็นแบ็คให้กับอาราชิเท่านั้นเอง นี่ผมฝันเกินตัวจริงๆเลยนะ
Q: อาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆก็ได้นะ
Y: ถึงอย่างนั้นผมก็ยังตัดใจไม่ลง แม้ว่าจะเดบิวต์แล้วผมก็ยังคอยบอกกับโอโนะคุงว่า “ผมอยากเป็นแบ็คให้โอโนะคุงครับ!” แต่โอโนะคุงก็ตอบกลับมาว่า “ไม่ได้หรอก จิเนนคุงเดบิวต์ไปแล้วนะ” ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคาดหวังว่าสักวันหนึ่งอยากจะทำอะไรสักอย่างด้วยกันอยู่ดี อย่างทะงุจิ(จุนโนะสุเกะ)คุงกับฮิกาชิยามะ(โนริยูกิ)ซังยังเล่นละครเวทีด้วยกันเลย ผมเองก็อยากทำอะไรอย่างนั้นกับโอโนะคุงสองคนเหมือนกันนะ
การใช้ชีวิตม.ปลายให้มีความหมายนั้นขึ้นอยู่กับตัวเองทั้งหมดนั่นล่ะ
Q: มีความรู้สึกอื่นๆที่เกี่ยวกับการเดบิวต์อีกมั้ย?
Y: อืม ไม่รู้สินะ อะไรงั้นเหรอ อืม ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองมั้ยนะ แต่รู้สึกว่าสายตาของ Jr. ที่มองพวกผมมันน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้ ทุกคนก็น่าจะคิดเหมือนกันล่ะมั้ง ก็พวกผมดันเดบิวต์ตัดหน้าพวกรุ่นพี่ทั้ง A.B.C.,Kiss my ft2อย่างนี้นี่นา ผมจะรู้สึกผิดอยู่เสมอเลยล่ะเวลาที่พวกรุ่นพี่มาเต้นเป็นแบ็คอยู่ด้านหลัง
Q: มีรุ่นพี่ที่สนิทสนมด้วยมั้ย?
Y: สึกะ(สึกาดะ เรียวอิจิ)จัง สึกะจังไม่ได้ช่วยเหลือแค่เรื่องอโคแบทอย่างเดียว แต่ยังช่วยดูแลผมเสมอมาด้วย พวกผมมักจะกลับบ้านด้วยกันบ่อยๆ แถมบางครั้งก็เลี้ยงข้าวผมอีกด้วย ถึงแม้ผมจะเดบิวต์ก่อนแต่ก็ยังปฏิบัติกับผมเหมือนเดิม ผมรู้สึกดีใจมากเลยจริงๆนะ
Q: หลังจากเดบิวต์ช่วง ม.2 แล้วก็ยังได้เรียนต่อม.ปลายที่โฮริโคชิกับยามาดะคุงและนากาจิมะคุงด้วยสินะ
Y: ถ้าจะให้พูดจริงๆแล้ว ผมไม่ได้อยากเรียนต่อม.ปลายสักเท่าไหร่หรอกนะ (หัวเราะ) เพราะผมคิดว่าไหนๆก็เดบิวต์แล้ว อยากทุ่มให้กับสายงานนี้อย่างเต็มที่ทำให้ผมคิดหนักอยู่นานจนเกือบถึงวันปิดรับสมัครนี่ล่ะถึงได้ยืนใบขอเข้าเรียนไป
Q: ทำไมถึงคิดจะเรียนต่อม.ปลายล่ะ?
Y: หนึ่งในเหตุผลหลักเลยก็เพราะว่าถูกคนที่บริษัทว่าว่า “ให้คิดถึงแฟนคลับบ้าง” พอลองคิดถึงพวกแฟนๆที่อายุเท่ากันหรืออายุน้อยกว่าผมแล้วก็เลยเลือกที่จะเรียนต่อ อย่างตัวผมเองได้ตัดสินใจเลือกแล้วว่าจะเดินไปตามสายงานนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเรียนหรือไม่เรียนม.ปลายก็ไม่มีความหมายใดๆ แต่ผมไม่ได้บอกว่าการไปเรียนม.ปลายไม่มีความหมายนะ ถ้าเกิดมีแฟนๆที่มีความคิดว่า “ในเมื่อจิเนนคุงยังไม่ไปเรียนเลย ฉันก็จะไม่ไปเรียนเหมือนกัน” มันไม่คุ้มกันเลยสักนิด การใช้ชีวิตม.ปลายให้มีหรือไม่มีความหมายนั้นขึ้นอยู่กับตัวเองทั้งหมดนั่นล่ะ ดังนั้นผมเลยตัดสินใจว่าจะลองพยายามทั้งการเรียนและการทำงานดู
Q: อย่างนี้นี่เอง แล้วในความเป้นจริงแล้ว ชีวิตม.ปลายเป็นยังไงบ้าง
Y: สนุกมากๆเลยครับ คิดถูกแล้วจริงๆที่เรียนต่อ (หัวเราะ) ถึงแม้ว่าจะมีช่วงที่เรียวสุเกะอยู่คนละห้องบ้างก็เถอะ แต่กับยูโตะคุงแล้ว ผมกับยูโตะคุงได้อยู่ห้องเดียวกันตลอดเลยล่ะ
Q: ไหนยกตัวอย่างให้ฟังหน่อย
Y: ผมได้อยู่กับยูโตะคุงมาตลอดเลย จะให้ผมมาพูดอย่างนี้มันก็กระไรอยู่ แต่พวกผม 2 คนเนี่ยจริงจังกันสุดๆเลยล่ะ อย่างในวิชาพละ พอได้เริ่มเรียนวอลเล่ย์บอลก็จะมีอารมณ์ร่วมเต็มที่แบบ “มาแล้วๆ ถ้าพูดถึงวอลเล่ย์บอลก็ต้องนึกถึงพวกเรา” (หัวเราะ) ถ้าเกิดเพื่อนในห้องแอบโกงนิดๆหน่อยๆก็จะว่าทันทีว่า “นั่นมันผิดกฎนะ รักษากติกาด้วย” ตลอดเลยล่ะ
Q: ฮ่ะๆๆๆ
Y: พอพูดถึงยูโตะคุง ตอนม.4ที่มีกิจกรรมค้างคืนที่โรงเรียนประมาณ 3 คืน ตอนนั้นจะต้องมีนักเรียนชายหญิงอย่างละคนที่ได้รับเลือก ยูโตะคุงก็ได้รับเลือกจากอาจารย์ด้วย และเพราะยูโตะคุงเป็นคนที่จริงจังกับงานสุดๆ ตอนนั้นเลยพยายามจนไม่สบายไปเลยล่ะ แต่ถึงยังไงก็รู้สึกดีใจจริงๆที่ได้เรียนม.ปลาย ตอนนี้พอได้พูดคุยกับยูโตะคุงก็จะคิถึงเรื่องราวนชีวิตม.ปลายตลอดเลยล่ะ
Q: หลังจากกรุ๊ป NYC boys ก็ได้ทำงานในฐานะเมมเบอร์ของ NYC ด้วยสินะ
Y: ผมรู้สึกดีใจมากๆเลยล่ะ เพราะว่าการที่ได้รับเลือกให้เป็นเมมเบอร์ถึง 2 วงในเวลาเดียวกันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ แถม NYC ยังเป็นวงที่มีแค่ 3 คน เวลาต้องไปออกรายการต่างๆเลยต้องพูดให้เยอะขึ้นทำให้ผมตื่นเต้นมากเลยล่ะ (หัวเราะ) ดีจริงๆที่มีเรียวสุเกะอยู่ด้วย แถมส่วนใหญ่ยังต้องไปทำงานในฐานะ JUMP จนทำให้รู้สึกผิดกับยูมะเหมือนกันแต่ก็รู้สึกว่ายูมะน่ะเข้มแข็งจริงๆเลยล่ะนะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น